ที่สำคัญการใช้เพียงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด ไม่สามารถแก้ปัญหาความเสียหายทางเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ต่ออุตสาหกรรมเหล็กของไทยได้ เนื่องจากกำลังการผลิตเหล็กของโลกที่มีมากเกินความต้องการ และการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากต่างประเทศ จนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทยมีการใช้กำลังการผลิตถดถอยเหลือเพียง 33% เท่านั้น. ดังนั้นการแก้ไขปัญหาที่สำคัญอีกแนวทาง คือ การสนับสนุนการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ที่จะมีการใช้งบประมาณหลายล้านล้านบาทในระยะเวลาข้างหน้านี้
5% YOY มาอยู่ที่ระดับ 7. 6 แสนล้านบาท โดยมีแรงหนุนจากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนาดใหญ่ เช่น โครงการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟรางคู่ โครงการมอเตอร์เวย์ผนวกกับโครงการขนาดกลางและเล็กของภาครัฐ ที่เริ่มมีการเร่งเบิกจ่ายภายหลัง พ. ร. บ. งบประมาณประจำปี พ. 2563 ได้รับการอนุมัติ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการอัดฉีดเม็ดเงินผ่านโครงการก่อสร้างขนาดกลางและเล็กเพิ่มเติมจากโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้เงินจาก พ. ก. กู้เงินเพื่อการเยียวยาและดูแลเศรษฐกิจ แต่คำถามสำคัญคือว่า อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศจะได้รับอานิสงส์จากโครงการก่อสร้างของภาครัฐซึ่งเป็นตัวช่วยเดียวหรือไม่??
ความต้องการใช้เหล็กลดลงจากการชะลอตัวในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้เหล็ก 2. ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะอุปทานหยุดชะงักจากประเทศคู่ค้าบางรายที่ไทยมีการนำเข้าเหล็กและยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ภายในประเทศได้ และ 3. ราคาเหล็กหดตัวซึ่งเกิดจากภาวะอุปทานส่วนเกินในจีนรวมถึงประเทศแถบเอเชียตะวันออก ปีนี้การก่อสร้างภาคเอกชนมีแนวโน้มปรับตัวลดลงราว 8% YOY มาอยู่ที่ 5.