หัวปั๊มลม ใช้ในการผลิตลม 2. ถังเก็บลม ใช้สำหรับเก็บลมไว้ภายใน สำหรับไว้ใช้งาน 3. มอเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้นกำลังที่ใช้ในการผลิตลม 4. เกจ์ จะเป็นตัวบอกแรงดันลมที่มีอยู่ภายในถังเก็บลม 5. สวิทช์ออโตเมติก สั่งทำงานการดันลมโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะทำการสั่งหยุดลมเมื่อได้ลมที่ต้องการตามอัตโนมัติ และจะทำหน้าที่สั่งให้ลมทำงานต่อ เมื่อลมได้มีปริมาณลดลงตามที่ระบุไว้ 6. แม็กเนติก มีหน้าที่ป้องกันการทำงานของระบบมอเตอร์ไฟฟ้า 7. โปโร ช่วยระบายลมออกจากถังเก็บลม เมื่อเวลาที่ระบบสวิทช์ออโตเมติกไม่ทำงาน 8. สายระบายลม เป็นตัวผ่านลมลงไปยังถังเก็บลมภายใน 9. เช็ควาล์ว เป็นตัวกันลมย้อนกลับเข้าหัวลม 10. ตาแมว เป็นตัวแสดงปริมาณน้ำมันหล่อลื่นที่อยู่ภายในหัวปั๊มลม ซึ่งตัวน้ำมันหล่อลื่นจะต้องอยู่ในปริมาณที่ระบุไว้เท่านั้น 11. ท่อทองแดง ช่วยในการระบายลมออกจากสายระบายลม เพื่อที่จะได้ช่วยลดแรงเสียดทานจากการเริ่มต้นผลิตแรงลม ประเภทของปั๊มลมชนิดต่างๆ เราสามารถแบ่งเครื่องปั๊มลมออกเป็น 6 ประเภท ดังต่อไปนี้ 1. Piston Air Compressor ปั๊มลมประเภทลูกสูบ 2. Screw Air Compressor ปั๊มลมประเภทสกรู 3. Sliding Vane Rotary Air Compressor ปั๊มลมประเภทใบพัดเลื่อน 4.
ปั๊มลม คืออะไร?
ลูกสูบ (Piston) ลูกสูบปั้มลม มี 2 แบบ คือ ทำมาจากเหล็ก และ อลูมิเนียม มีอยู่หลายขนาด เช่น ขนาด 65 มม. ขนาด 80 มม. และ ขนาด 100 มม.
ปั๊มลม คือ การผลิตลมโดยมีส่วนประกอบหลักๆ 3 ส่วน ได้แก่ 1. หัวปั๊มลม 2. มอเตอร์ไฟฟ้า และ 3. ถังเก็บลม วิธีการทำงานก็คือ การที่หัวปั๊มลม อัดลมเก็บไว้ในถังเก็บลม โดยมีมอเตอร์เป็นตัวต้นกำลัง ซึ่งขนาดของส่วนประกอบต่างๆ จะต้องเหมาะสมกันเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด